สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ และส่งผลกระทบต่อคนหลายคน อาจรวมไปถึงธุรกิจด้วย ในเรื่องของการเข้ามาแย่งงานของ AI อย่างงานจำพวก daily routine ต่าง ๆ ที่ต้องปรับตัว และเตรียมรับมือ ธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ทั้งการวางแผนที่รอบคอบ รัดกุม ในการปรับใช้ AI เพื่อลดจำนวนคน รวมไปถึงการยกระดับทักษะการทำงาน เพื่อให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงด้วย AI ได้ เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายทั้งฝั่งบุคคล และฝั่งธุรกิจเลยก็ว่าได้
หลายคนอาจคิดว่า หาก AI เข้ามาก็จะช่วยลดต้นทุนในการทำงานลงไปได้ ซึ่งก็อาจจะใช่ แต่ต้องอย่าลืมว่า เราต้องจ่ายเงินเพื่อการลงทุนซื้อ AI ที่เข้ากับธุรกิจของเรา ซึ่งการได้มาของเครื่องจักรที่สามารถจำลองความฉลาดของมนุษย์ได้นั้น จำเป็นต้องจ่ายด้วยเม็ดเงินที่สูงเป็นธรรมดา รวมไปถึงการอบรม และบูรณาการ AI กับระบบที่มีอยู่ขององค์กร ความซับซ้อนของการพัฒนาระบบ ความท้าทายทางเทคนิค ซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ ที่อาจจะทำให้เกิดเป็นค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นได้
ประเด็นนี้อาจดูแปลกนิดนึง แต่เครื่องมือที่เป็น AI บางตัวอาจยึดการตัดสินใจและการคำนวณจากข้อมูลในอดีต ทำให้เกิดการพูดกันว่ามันขาดความคิดสร้างสรรค์และขาดข้อมูลที่ทันสมัย มีบางส่วนที่ออกมาบอกว่า การใช้ AI ในเชิงธุรกิจ เหมือนข้อมูลและการอัพเดทจะล้าหลังไป 2 ปี ดังนั้นแล้ว ประเด็นนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่เราควรตระหนัก สิ่งสำคัญคือ การค้นคว้าข้อมูลล่าสุดด้วยตัวเอง เพื่อมาเสริมกับสิ่งที่ AI ทำ ถือเป็นแนวทางที่ช่วยให้ข้อมูลอัพเดทและถูกต้อง
สามข้อนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อเสียที่ AI อาจก่อให้กับธุรกิจของคุณได้ ดังนั้นแล้ว ควรศึกษา และเตรียมแผนการรับมือให้รอบคอบที่สุด เพื่อการทำงานและการทำ Digital Transformation ที่มีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก : LinkedIn, Simplilearn